สมุนไพร กระเจี๊ยบแดง

สมุนไพร

ชื่อสมุนไพร กระเจี๊ยบแดง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง) กระเจี๊ยบ ส้มพอเหมาะ ส้มเก็ง (ภาคเหนือ) ส้มพอดี (อีสาน) ส้มปู (แม่ฮ่องสอน)
แบบมีฉี่ แต่เพะฉ่าเหมาะ (กะเหรี่ยง) ปร่างจำบู้ (ปะหล่อง)
ชื่อสามัญ Rosella , Jamaica Sorrel, Red Sorrel ,Roselle
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa Linn
วงศ์ Malvaceae

สมุนไพร

ถิ่นกำเนิดกระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง มีถิ่นกำเนิดในประเทศซูดาน รวมถึงประเทศใกล้เคียงในแถบทวีปแอฟริกาแล้วมีการกระจายพันธุ์ไปยังทั่วโลก
เช่น อินเดีย มาเลเซีย และประเทศไทย โดยในประเทศไทยนั้นพบบันทึกการปลูกในไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2510
โดยกรมประชาสงเคราะห์ได้นำกระเจี๊ยบแดงพันธุ์ซูดานเข้ามาปลูกที่นิคมสร้างตัวเอง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี
แล้วจึงมีการขยายพื้นที่ปลูกไปยังภาคต่างๆทั่วประเทศ ในปัจจุบันมีแหล่งเพาะปลูกกระเจี๊ยบแดงที่สำคัญ
ได้แก่ จังหวัดลพบุรี สระบุรี อุตรดิตถ์ กาญจนบุรี และฉะเชิงเทรา

ลักษณะทั่วไปกระเจี๊ยบแดง
ลำต้นกระเจี๊ยบแดงจัดเป็นไม้พุ่ม มีลักษณะลำต้นเป็นทรงพุ่ม สูงประมาณ 1-2.5 เมตร (แล้วแต่สายพันธุ์) ขนาดลำต้นประมาณ 1-2 ซม.
แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ต้นอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่ ลำต้น และกิ่งมีสีแดงม่วง เปลือกลำต้นบางเรียบ สามารถลอกเป็นเส้นได้
รากกระเจี๊ยบเป็นระบบรากแก้ว และแตกรากแขนง รากอยู่ในระดับความลึกไม่มาก

ใบกระเจี๊ยบแดง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามความสูงของกิ่ง มีลักษณะคล้ายปลายหอก ยาวประมาณ 7-13 ซม.
มีขนปกคลุมทั้งด้านบนด้านล่าง ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนปลายเว้าลึกคล้ายนิ้วมือ 3 นิ้ว หรือเป็น 5 แฉก ระยะห่างระหว่างแฉก 0.5-3 ซม.
ลึกประมาณ 3-8 ซม. มีเส้นใบ 3-5 เส้น เส้นใบด้านล่างนูนเด่น มีต่อมบริเวณโคนเส้นกลางใบ 1 ต่อม มีหูใบเป็นเส้นเรียวยาว 0.8-1.5 ซม.
ใบที่มีอายุน้อย และใบใกล้ดอกจะมีขนาดเล็กรูปไข่ ใบกระเจี๊ยบแดงบางพันธุ์จะไม่มีแฉก มีลักษณะโคนใบมน และเรียวยาวจนถึงปลาย
มีก้านใบมีแดงม่วงเหมือนสีของกิ่ง เส้นใบด้านล่างนูนชัด

ดอกกระเจี๊ยบแดง ออกเป็นดอกเดี่ยว ดอกแทงออกตามซอกใบตั้งแต่โคนกิ่งถึงปลายกิ่ง ดอกมีก้านดอกสั้น สีแดงม่วง ดอกมีกลีบเลี้ยง ประมาณ 5 กลีบ
หุ้มดอกบนสุด มีขนาดใหญ่ มีลักษณะอวบหนา มีสีแดงเข้มหุ้มดอก และกลีบรองดอก ที่เป็นกลีบด้านล่างสุด มีขนาดเล็ก 8-12 กลีบ มีสีแดงเข้ม
กลีบทั้ง 2 ชนิดนี้ จะติดอยู่กับดอกจนถึงติดผล และผลแก่ ไม่มีร่วง ดอกเมื่อบานจะมีกลีบดอกสีเหลืองหรือสีชมพูอ่อนหรือสีขาวแกมชมพู
เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร บริเวณกลางดอกมีสีเข้ม ส่วนของดอกมีสีจางลง เมื่อดอกแก่กลีบดอกจะร่วง
ทำให้กลีบรองดอก และกลีบเลี้ยงเจริญขึ้นมาหุ้ม

ผล ลักษณะของผลเป็นรูปรีมีปลายแหลม ผลมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จะแห้งแตกเป็น 5 แฉก
ในผลมีเมล็ดสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายรูปไตอยู่จำนวนมาก ประมาณ 30-35 เมล็ดต่อผล และผลยังมีกลีบเลี้ยงหนาสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มอยู่
เราจะเรียกส่วนนี้ว่ากลีบกระเจี๊ยบหรือกลีบรองดอก (Calyx) หรือที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นดอกกระเจี๊ยบนั่นเอง

ประโยชน์และสรรพคุณกระเจี๊ยบแดง
1. แก้อาการขัดเบา
2. แก้เสมหะ
3. ช่วยขับน้ำดี
4. ช่วยลดไข้
5. แก้ร้อนใน
6. แก้ไอ
7. ขับนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
8. แก้อ่อนเพลีย
9. บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต
10. แก้กระหายน้ำ
11. รักษาไตพิการ
12. ขับเมือกมันให้ลงสู่คูทวารหนัก ละลายไขมันในเลือด
13.เป็นยาระบาย
14. แก้ไตพิการ
15. ลดอาการบวม
16. แก้เลือดออกตามไรฟัน
17. เป็นยาฆ่าพยาธิตัวจี๊ด
18. รักษาแผลอักเสบ แผลติดเชื้อ
19. แก้โรคเบาหวาน
20. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
21. ช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากโต
22. ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
23. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง

รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้ขับปัสสาวะ ให้ใช้กลีบกระเจี๊ยบแดงแห้ง บดเป็นผง 3 กรัม (หรือ 1 ช้อนชา) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน ถึง 1 ปี
หรือจนกว่าอาการจะหาย รักษาโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดเป็นผง ใช้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ
แล้วดื่มน้ำตาม วันละ 3-4 ครั้ง ช่วยแก้โรคพยาธิตัวจี๊ด หรือจะใช้ผลอ่อนนำมาต้มรับประทานติดต่อกัน 5-8 วัน หรือจะใช้ทั้งต้นใส่หม้อต้มกับน้ำ 3 ส่วน
เคี่ยวไฟจนงวดให้เหลือ 1 ส่วน แล้วผสมกับน้ำผึ้งกึ่งหนึ่ง ใช้รับประทานวันละ 3 เวลา หรือจะรับประทานน้ำยาเปล่า ๆ ก็ได้จนหมดน้ำยา
แก้อาการขัดเบา โดยใช้กลีบเลี้ยงของผลหรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง นำมาตากแห้งแล้วบดให้เป็นผง นำมาใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (ประมาณ 3 กรัม)
ใช้ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (ประมาณ 250 มิลลิลิตร) แล้วนำมาเฉพาะน้ำสีแดงใส วันละ 3 ครั้ง ดื่มติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการจะดีขึ้นและหายไป

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
การใช้กระเจี๊ยบแดงอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
ในเพศชาย ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากผลการศึกษา ในสัตว์ทดลองพบว่า
ทำให้เกิดพิษต่อเซลล์ของอัณฑะและตัวอสุจิได้ส่วนในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันเพราะมีผลการศึกษาในหนูทดลองพบว่า
อาจทำให้ลูกหนูเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ช้าลงจากการศึกษาทางพิษวิทยา พบว่าหากรับประทานกระเจี๊ยบแดงในขนาดที่สูงและเป็นเวลานาน
อาจทำให้เป็นพิษต่อตับได้ผู้ที่มีภาวการณ์ทำงานของไตบกพร่อง ไม่ควรรับประทานกระเจี๊ยบแดง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกระเจี๊ยบแดง

12 ประโยชน์ดีๆ จาก “โสม” ราชาแห่งสมุนไพร ที่ไม่ได้เหมาะแค่กับคนชรา
สมุนไพร

12 ประโยชน์ดีๆ จาก “โสม” ราชาแห่งสมุนไพร

12 ประโยชน์ดีๆ จาก “โสม” ราชาแห่งสมุนไพร ที่ไม่ได้เหมาะ […]

Read More
ต้านฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ด้วยการกิน 5 สมุนไพร
สมุนไพร

ต้านฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ด้วยการกิน 5 สมุนไพร

ต้านฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ด้วยการกิน 5 สมุนไพร จากสถานการณ์ฝุ […]

Read More
10 ประโยชน์ของดอกคำฝอย และโทษของดอกคำฝอย
สมุนไพร

10 ประโยชน์ของดอกคำฝอย และโทษของดอกคำฝอย

10 ประโยชน์ของดอกคำฝอย และโทษของดอกคำฝอย นอกจาก เจียวกู […]

Read More