
ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูยอดฮิตที่ทุกคนต่างก็ติดใจ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ ต่างก็ถูกใจรสชาติที่โดดเด่นและกลิ่นหอมของสมุนไพร ที่เป็นส่วนผสมหลัก จึงทำให้ใครที่ได้ลิ้มลองเป็นต้องติดใจกันทุกราย นอกจากความอร่อยที่ได้จากต้มยำกุ้งแล้วยังได้ประโยชน์ที่ดีจากสมุนไพรด้วยนะคะ จึงไม่แปลกที่เมนูนี้จะเป็นเมนูที่ครองใจทุกคนที่ได้ลองชิมกันเลยค่ะ วันนี้เรามีสูตรการทำต้มยำกุ้งสุดอร่อย ทำง่ายมาฝากค่ะ
ต้มยำกุ้งเป็นอาหารไทยที่กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศไทย นิยมรับประทานกันทุกภาค และเป็นที่นิยมสำหรับชาวต่างชาติด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้มยำกุ้ง ซึ่งมีทั้งแบบน้ำข้นและน้ำใส ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารที่อุดมด้วย แร่ธาตุ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต มีไขมันน้อย กุ้งเป็นเนื้อสัตว์ที่มีโคเลสเตอรอลชนิดที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย รวมทั้งมีธาตุสังกะสีและซีลีเนียมในปริมาณสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มความต้านทานต่อการติดเชื้อ เครื่องสมุนไพรต้มยำ เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดมีสรรพคุณแก้ท้องอืด แก้ไอ แก้ช้ำใน ขับลมในลำไส้ แก้คลื่นเหียน แก้จุกเสียด ได้ดี

ส่วนผสม
– กุ้งแม่น้ำ 3 ตัว
– เห็ดฟาง 100 กรัม
– ตะไคร้หั่นบาง 10 กรัม
– ตะไคร้หั่นท่อนบุบ 16 กรัม
– รากผักชี 2 กรัม
– ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ
– น้ำต้มกระดูก 300 กรัม
– พริกขี้หนูสวนบุบ 10 กรัม
– น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
– น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
– นมข้นจืด 120 กรัม
– น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
– ผักชี

วิธีการทำ
1. ต้มน้ำต้มกระดูกโดยใส่เปลือกกุ้ง ตะไคร้หั่นท่อน และรากผักชี เมื่อเดือดยกลง
กรองเอาแต่น้ำเป็นน้ำสต็อก
2. นำน้ำสต็อกตั้งไฟ ใส่ตะไคร้ เห็ดฟาง พอน้ำเดือดใส่กุ้งรอจนเดือดแล้วใส่น้ำปลา ฉีกใบมะกรูดใส่ลงไป
3. ละลายน้ำพริกเผากับนมข้นจืดในชามเสิร์ฟ คนให้เข้ากัน เติมน้ำมะนาว พริกขี้หนูบุบ
4. ตักต้มยำใส่ชามเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยผักชี
เคล็ดลับ
1. ควรใส่น้ำปลาขณะที่น้ำเดือด จะทำให้มีกลิ่นหอมและไม่คาว
2. ควรใส่น้ำมะนาวเมื่อปิดไฟและยกลงจากเตาแล้ว จะทำให้มีกลิ่นหอมและไม่มีรสปร่า ขม
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวิธีการทำต้มยำกุ้งที่เรานำมาก รับรองได้เลยว่าสูตรนี้เป็นสูตรที่ออกมาแล้วอร่อยโดนใจอย่างแน่นอน รสชาติแซ่บจัดจ้านถึงใจ ด้วยวัตถุดิบที่มีสมุนไพรสรรพคุณมากมายรวมอยู่ในชามเดียว แถมวัตถุดิบนั้นยังหาได้ง่ายในซุปเปอร์มาเก็ตและตลาดใกล้บ้านคุณอีกด้วยค่ะ ง่ายขนาดนี้ต้องลองทำกันดูนะคะ
ขอบคุณแหล่งที่มา : www.thaifoodheritage.com