
ขยายผลข้าวเหนียวหอมนาคา ปูพรมชาวนาผลิตเมล็ดพันธุ์เอง
ข้าวล้มเป็นปัญหาหลักของการปลูกข้าวเหนียวที่พี่น้องชาวนาต้องเผชิญ เพราะข้าวเหนียวพันธุ์ไทยต้นสูง ลมฝนแรงข้าวจะล้มนอน แม้ยังออกไม่เต็มรวง ปีไหนแล้งผลผลิตจะออกน้อย แถมต้องเจอกับโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง แต่บัดนี้แทบทุกปัญหาจะหมดไป ด้วย…ข้าวเหนียวหอมนาคา
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยว่า ช่วงปีที่แล้ว ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ร่วมกันพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียว “หอมนาคา” ได้สำเร็จ
หอมนาคามีคุณสมบัติพิเศษ ทนต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน สามารถจมอยู่ในน้ำได้นาน 1-2 สัปดาห์ ทนทานต่อการขาดน้ำในบางระยะของการปลูก สอดรับกับสภาพพื้นที่ภาคเหนือและอีสานที่นิยมบริโภคข้าวเหนียว ทนทานต่อโรคไหม้และขอบใบแห้ง เป็นข้าวไม่ไวแสง ปลูกได้ทั้งนาปีและนาปรัง ระยะเวลาปลูก 130-140 วัน ลำต้นไม่สูง เก็บเกี่ยวง่าย สามารถเก็บได้ด้วยเครื่องทุ่นแรง สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่
เมื่อนำมานึ่งรับประทาน ข้าวมีความหอมและนุ่ม เมื่อหยิบทานข้าวก็ไม่ติดมือ วางตั้งทิ้งไว้ข้าวก็ไม่แข็ง และนำไปอุ่นซ้ำข้าวก็ไม่เละ ต่างจากข้าวเหนียวชนิดอื่นที่เคยมี
จากการทดลองปลูกพบว่า ในพื้นที่ภาคเหนือให้ผลผลิตไร่ละ 800-900 กก. และภาคอีสานมีผลผลิตสูงถึงไร่ละ 700-800 กก. สำหรับข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคา ทางไบโอเทค สวทช. ได้ยื่นขอหนังสือรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน และได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบันได้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ วิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้มาตรฐานและตรงตามพันธุ์ โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวใช้เอง และเกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจเมล็ดพันธุ์เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมนาคาในอนาคต ในหลายพื้นที่
ล่าสุดได้ขยายผลการปลูกทดสอบร่วมกับสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด จ.ลำปาง โดยจัดส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาให้สหกรณ์ฯ 400 กก. สามารถปลูกได้ทั้งสิ้น 58 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมปลูก 6 ราย พร้อมกับจัดอบรมเกษตรกรเรื่อง “การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี”
ทั้งนี้ คาดว่าผลผลิตในฤดูกาลแรก จะได้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ 10-15 ตัน เพื่อปลูกในฤดูถัดไป ข้าวเปลือก 20-25 ตัน ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 พันธุ์ดั้งเดิมที่เกษตรกรในพื้นที่ปลูกกันอยู่นานแล้ว โดยสหกรณ์ฯเตรียมวางแผนขยายผล ถ่ายทอดให้ความรู้เกษตรกรในพื้นที่และเครือข่าย เพื่อกระจายเมล็ดพันธุ์ และเมื่อได้ผลผลิตแล้ว มีแผนวางจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง เบื้องต้นวางจำหน่ายข้าวเปลือก กก.ละ 30 บาท และข้าวสาร กก.ละ 35 บาท ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่สหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด โทร.0-5426-9062-3.
ขอบคุณแหล่งที่มา : www.thairath.co.th
ติดตามข่าวสาร ได้ที่ : thaigoodherbal.com